Header Ads

กมธ.การศึกษาเรียกร้อง ให้รัฐบาลนำข้อเสนอของคณะกมธ. 7 ข้อพิจารณาโดยด่วน

 "โสภณ" นำคณะกมธ. การศึกษาเรียกร้องให้รัฐบาลนำข้อเสนอของคณะกมธ. 7 ข้อพิจารณาโดยด่วน



วันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะ กมธ.การศึกษา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วย
นายสฤษดิ์ บุตรเนียร สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปราจีนบุรี และคณะ แถลงข่าว ผลการพิจารณาแนวนโยบายและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในปัจจุบันภายหลังมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่และมีการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาขึ้น คณะกมธ. มีข้อเสนอแนะดังนี้


1. โครงการอาหารกลางวันนักเรียน สืบเนื่องจากการสูญเสียครูมัทจากการอัตวินิบาตกรรม ที่มีสาเหตุหลักมาจากความคับข้องใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ครูการเงินโรงเรียน โดยมักพบปัญหานี้ในโรงเรียนขนาดเล็กเสมอ กรณีดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจ และเป็นที่กล่าวขวัญในวงการการศึกษาว่าไม่ควรมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก แต่เหตุการณ์ผ่านมานานหลายเดือนกลับไม่ถูกแก้ไขใด ๆ กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังคงไม่ได้มีการปรับเกณฑ์ มิได้มีมาตรการที่จะทำให้ครูเกิดความมั่นใจ มีความสุขกับการปฏิบัติงาน และที่สำคัญมีการประชุมระหว่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และเขตพื้นที่การศึกษา มีแต่การแจ้งว่าผู้ปฏิบัติต้องทำตามระเบียบอย่างไร เป็นการสร้างความเครียดให้กับบุคลากรทางการศึกษา เป็นปัญหากระทบต่อการเรียนการสอน จึงมีการร้องเรียนกับคณะ กมธ.ในระหว่างการลงพื้นที่ จึงขอให้มีการทบทวน หรือหาทางออก ปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีบุคลากรไม่เพียงพอ 
.
2. การนำเงินอาหารกลางวันไปซื้อลำไย กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะให้ซื้อลำไยใน ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย แต่ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ และเป็นการเพิ่มภาระเรื่องอาหารกลางวัน อีกทั้งลำไยไม่ได้เป็นพืชที่มีโภชนาการสำหรับเด็กประถม การออกนโยบายเช่นนี้ เป็นภาระของผู้ปฏิบัติจริง กมธ. จึงเรียกร้องว่าให้ทบทวนมาตรการนโยบาย 
.
3. การปรับอัตราครูเกินเกณฑ์ เปลี่ยนเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) หรือการเปลี่ยนเป็นครูธุรการ โดยแท้จริงแล้วขณะนี้โรงเรียนขนาดเล็กกว่า 10,000 โรงเรียน ยังเป็นโรงเรียนที่ขาดแคลนอัตรากำลังครู เหตุใดจึงไม่เกลี่ยอัตรากำลังไปยังพื้นที่โรงเรียนขนาดเล็ก หรือตามที่คณะกมธ.เสนอคือ ให้สพฐ.ประกาศนโยบายประกาศแรงจูงใจ แก้ไขระเบียบ ให้ครูที่อยู่โรงเรียนเกินเกณฑ์มีสิทธิพิเศษ สมัครใจไปโรงเรียนขนาดเล็ก โดยพิจารณาเรื่องอายุราชการ เหมือนผู้ที่ไปรับราชการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ สิทธิพิเศษในการเลื่อนขั้นเงินเดือน เพื่อเป็นแรงจูงใจในการเกลี่ยอัตรากำลัง 
.
4. การลดภาระครู แม้จะมีนโยบายออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่แท้จริงแล้ว ครูก็ยังมีภาระอื่น นอกเหนือจาก
การเรียนการสอนและงานในหน้าที่ที่มากเหมือนเดิม เช่น การประกวดตามนโยบาย โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกมีหลายร้อยรายการ และมีหลายรายการมีความซ้ำซ้อนของเนื้อหาประกวด อาทิ โรงเรียนสีขาว โรงเรียนสุจริต รวมถึงการประเมินอีกหลายรายการ โดยเฉพาะการประเมินภายนอกของสำนักงานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ถือว่าเป็นภาระของครูเป็นอย่างมาก ที่จะต้องจัดเตรียมจัดทำ จัดหา เอกสารหลักฐานเพื่อรองรับการประเมิน คณะกมธ.จึงเสนอว่า การประเมินภายนอกควรมีการปรับปรุงเพื่อประสิทธิภาพเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนอย่างแท้จริง 
.
5. ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งกระจายอำนาจให้สถานศึกษาอย่างแท้จริง  

6. ไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาหนี้สินครู โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการ และสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ตั้งสหกรณ์ เนื่องจาก สกสค. มีปัญหาอยู่แล้ว มีความไม่น่าเชื่อถือ จากโครงการที่เกิดความเสื่อมเสียต่อ สกสค. แม้แต่การสรรหาสกสค.ระดับจังหวัด ยังไม่สามารถดำเนินการได้ แล้วจะให้หน่วยงานที่มีปัญหาตั้งสหกรณ์เพิ่ม จึงเสนอว่าการแก้ปัญหาหนี้สินครู ต้องแก้ไขทั้งระบบ ส่งเสริมให้ครูมีรายได้ ตามที่บรรจุไว้ในในพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ กมธ.ได้ร่วมกันร่างขึ้นมา
.
7. คณะกมธ.เรียกร้องไปยังรัฐบาลว่าควรเสนอ ร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติโดยเร็ว การที่จะแก้ปัญหาการศึกษา ต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย ถ้าหากไม่ปรับระเบียบกฎหมาย โครงสร้างต่าง ๆ จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะกิจไปเรื่อย ๆ สะสมปัญหาการศึกษาเอาไว้
.
อย่างไรก็ตาม คณะกมธ.ได้มีมติ เป็นเอกฉันท์ที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลได้นำข้อเสนอทั้ง 7 ข้อ ไปพิจารณาโดยด่วน
.
//////

ขับเคลื่อนโดย Blogger.