น้องสาว “เสี่ยราดหน้า” ร้องสื่อ... ขอชี้แจ้งต้นเหตุฟ้องร้อง 10 กว่าคดี เล่นงานน้อง เพียงเพราะจะทวงหุ้นที่เคยให้พี่น้องผู้หญิง “คืน”
“ครอบครัว ศรีสกุลภิญโญ” นำโดย นางกรนิภา แซ่เตีย (พี่สาวคนโต) นางนุจรีย์ ศรีสกุลภิญโญ (พี่น้องคนที่ 4) นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง)ร่วมแถลงชี้แจงกรณีพิพาทในครอบครัวที่กลายเป็นข่าว “เสี่ยราดหน้าพันล้าน” ร้องสื่อเรื่องโดนน้องๆ ฮุบบริษัท รวมถึงโดนกระทำอื่นๆ อาทิ โดนคดีความฟ้องร้อง ตัวเอง และลูกๆ ถูกไล่ออก จนไม่มีเงิน เลยต้องมาขายราดหน้าประทังชีวิต และมีคดีฟ้องร้องกันถึง 13 คดี และสร้างเรื่องราวพิพาทในตระกูลให้ออกสือมาเป็นระยะๆ จนทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสื่อมเสียและลามไปถึงภาพลักษณ์ธุรกิจบริษัท 3 สาวพีน้องที่ จึงขอเปิดเผยความจริงเพือขอความเป็นธรรม แจงต้นเหตุฟ้องร้อง เพราะ“เสี่ยราดหน้าพันล้าน” จะทวงหุ้น 5% ของตัวเองคืน จากทั้งหมดที่ตัวเองมีถึง 25% ทั้งที่พี่น้องฝ่ายหญิง 3 คนก็ช่วยทำงานมาด้วยกันมาแต่แรกด้วยกัน แต่ไม่เคยได้รับ “แบ่ง”หุ้นเลย มีสถานะแค่พนักงานเงินเดือนเท่านั้น
โดยนางนุจรีย์ ศรีสกุลภิญโญ (พี่น้องคนที่ 4 ของตระกูล) กล่าวว่า บริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เริ่มต้นจากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสร้างมา และลงทุนให้ลูกๆ ทำ เฟอร์นิเจอร์ ตกแต่ง ภายใน ก่อน จะขยายธุรกิจในการทำเฟอร์นิเจอร์ชุดครัวและพี่น้องทั้งหมด ช่วยกันบริหาร ซึ่งได้เงินทุนจากพ่อแม่ โดยแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างชัดเจน ไม่ใช่เป็นบริษัทที่ นายสมชาย ศรีสกุลภิญโญ (เสี่ยราดหน้า พันล้าน) เป็นคนสร้างมาคนเดียวอย่างที่สื่อออกไป
ส่วนปัญหาครอบครัว กรณีนายสมชาย ศรีสกุลภิญโญ (เสี่ยราดหน้าพันล้าน) ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ขอแจงว่า เดิมที่นายสมชาย ถือหุ้นอยู่ในบริษัทฯ 25% เท่ากันกับพี่น้องผู้ชายอีก 4 คน ได้แก่ นายปรีชา,นายสมชาย, นายธนัฏฐ์โชค, นายพัฒน์ปกรณ์ ซึ่งการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เป็นธุรกิจแบบครอบครัวที่บริหารงานร่วมกันตามความถนัดแต่ละสายงาน และมีการปันผลกำไรตามผลประกอบการ
ที่นายสมชายฟ้องเรื่องหุ้นจนใหญ่โตเป็นข่าว จริงแล้วคือ หุ้นแค่ 5% ของโควต้าคุณสมชาย เพราะเดิมสมัยก่อนพี่น้องผู้ชายได้แบ่งหุ้นบริษัทครั้งแรก คนละ 25% และเมื่อกิจการบริษัทเจริญก้าวหน้าพี่น้องฝ่ายชายจึงเสนอว่าควรสละแบ่งหุ้นให้พี่น้องฝ่ายหญิงบ้างเพื่อความแฟร์ ในฐานะตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาพี่น้องทุกคนก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขช่วยสร้างบริษัทมาด้วยกัน พี่น้องฝ่ายชาย 4 คน จึงทำสัญญาสละหุ้นกันออกมาคนละ 5% (รวมเป็นหุ้น 20% ให้พี่น้องผู้หญิงสามคนจัดสรรกันเอง) ทำให้ทุกวันนี้ คุณสมชายยังเหลือหุ้นอีก 20% แต่ต้นเหตุของการฟ้องร้อง คือ เค้าจะทวงหุ้น 5% ดังกล่าวคืน ในขณะที่พี่น้องผู้ชายอีก 3 คน เค้าให้พี่น้องผู้หญิงแบบเต็มใจสุดๆ
“ขอถามทุกคนจริงๆเป็นผู้หญิงลูกคนจีน ที่ช่วยทำงานให้ตระกูลมาทั้งชีวิตหลายสิบปี กับหุ้นแค่ 5% ให้พี่น้องผู้หญิงไม่ได้เหรอ เพียงเพราะเป็นเพศหญิง เราผิดใช่ไหม”
“ต่อให้แบ่งหุ้น 5% ตอนนี้ นายสมชายแค่คนเดียวก็ยังมีหุ้นอีก 20% ซึ่งลองเทียบกับพี่น้องผู้หญิงเราสามคน มีหุ้นรวม 20%” นางนุจรีย์กล่าว
ปัจจุบัน ฝั่งนายสมชาย ศรีสกุลภิญโญ (เสี่ยราดหน้า พันล้าน) ยังถือหุ้นในบริษัทฯ เป็นสัดส่วน 20 % โดยนายสมชาย ถือหุ้น 40,000 หุ้น (และนำแบ่งให้ภรรยา และบุตร ถือหุ้นในสัดส่วน 8,000 หุ้นทุกคนเท่าๆ กัน รวมเป็น 80,000 หุ้น) และยังคงได้รับปันผลทุกคน
นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง)ตำแหน่งปัจจุบันในบริษัทเป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าว กระทบต่อการภาพลักษณ์บริษัทฯ เป็นอย่างมาก ที่ทางนายสมชาย อ้างว่า ทางบริษัทฯ ไล่เค้าออก และไล่ ลูก ๆขอเค้าออกจากบริษัทฯ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว บริษัทฯ มีการปรับองค์กรให้เป็นไปตามเกณฑ์แบบสากล โดยทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์ 60 ปี ก็ต้องเกษียณ และที่ได้มีการให้ข่าวว่าไล่ลูก ๆ ของคุณสมชายออกนั้น ก็เป็นไปตามกฎของบริษัทฯ ซึ่งถ้าไม่เข้ามาทำงานเลย จะกินเงินเดือนอย่างเดียวทางฝ่ายบุคคลก็รับไม่ได้ ซึ่งเราทำตามเป็นขั้นตอนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ที่นายสมชายได้อ้างว่า เรื่องเงินเยียวยาที่ทางบริษัทฯ ไม่ยอมจ่าย จริงแล้วเป็นคำตัดสินคดีจากศาลแรงงานที่ให้ชดเชยลูกของคุณสมชาย 1.3 ล้าน ซึ่งบริษัทฯ เตรียมให้นานแล้ว แต่ต้องรอนำไปมอบให้ที่ศาลตามวันที่ศาลกำหนดไว้(ในเดือนสิงหาคมนี้)
นายสมชาย ยังอ้างเรื่องเงินเยียวยาหลายร้อยล้านนั้น ความจริงคือขณะเกิดคดี ทางศาลขอให้พี่น้องไปไกล่เกลี่ยกันดีกว่ามาฟ้องร้องความให้เสียเวลา นายสมชายจึงพูดว่า จะขอเงินตัวเลข 300 ล้านขึ้นมาแล้วตัวเองจะเลิกฟ้อง ซึ่งไม่ได้มีใครรับปากยอมรับเรืองดังกล่าวหรือตัวเลขดังกล่าวเลย ศาลเองก็ไม่เคยตัดสินหรือบังคับสั่งให้จ่ายเงินขนาดนั้นแต่อย่างใด เป็นความต้องการของนายสมชายฝ่ายเดียวที่พูดเท่านั้น
และคดีความที่อ้างว่าชนะนั้น จริงแล้วเป็นแค่บางคดีในระดับศาลชั้นต้น ซึ่งตอนนี้คดีเข้าอยู่ในขั้นของศาลอุธรณ์ต่อไป น้องคนสุดท้อง ยังกล่าวถึงคดีความที่นายสมชายอ้างว่า ทางพี่น้องฟ้องนายสมชาย 13 คดี คือความเป็นจริงแล้ว นายสมชาย เป็นคนฟ้องคดีอาญาเกือบทั้งหมด 11 คดี ฟ้องทางฝั่งพี่น้องที่ทำงานอยู่ พอทางเราชนะคดี เราจึงฟ้องกลับ2 คดี กับโจทก์ทั้ง 7 ซึ่งก็มีลูกและภรรยาเขาอยู่ด้วย และคุณสมชาย ซึ่งที่เราฟ้องกลับ 2 คดี ก็คือคดีฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ
นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง) ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบัน นายสมชาย และครอบครัว ยังคงอาศัยอยู่กับบ้านของครอบครัวหลังใหญ่ ไม่ได้ลำบากอย่างที่นายสมชายกล่าวอ้างแต่อย่างใด และที่นายสมชายบอกว่า หมดเนื้อหมดตัวในการสู้คดี ไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งที่ผ่านมานายสมชายยังมีการลงทุนซื้อที่ดินริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 และลงทุนสร้างอาคารขนาดใหญ่เพื่อทำศูนย์อาหารเลย สื่อมวลชนและสังคมลองไปสำรวจเองได้
และในกรณีที่ว่า ทางนายสมชาย เป็นคนส่งเสียให้น้อง ๆ ได้เรียนหนังสือจบจากเมืองนอกมานั้น จริง ๆ แล้วนายสมชายไม่ได้ใช้เงินส่วนตัวให้น้องๆไปเรียนต่อ แต่คือเงินกงสีของบริษัทที่พี่ๆทุกคนต่างเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้น้องๆไปเรียนต่อ กาลต่อมา เมื่อนายสมชายมีรอบครัวมีลูกๆ พี่น้องในตระกูลทั้ง 7 คนที่ทำบริษัทก็สนับสนุนเช่นกัน ด้วยการให้บริษัทฯ ให้ทุนสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อเช่นกัน ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวในบรรดาพี่น้อง 7 คน ที่ได้สิทธิ์พิเศษนี้มากที่สุด
นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ (น้องคนสุดท้อง) กล่าวสรุปตอนท้ายว่า ในครอบครัวทุกคนพร้อมเจรจากับ พี่สมชาย ว่าสิ่งที่พี่ทำไป มันไม่เป็นผลดีต่อครอบครัว และบริษัทฯ ที่ทุกคนได้สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะน้ำพักน้ำแรงของคุณพ่อคุณแม่ ที่เริ่มต้นมาจากศูนย์ และบริษัทฯ พี่น้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ไม่อยากให้บริษัทฯ ต้องมีปัญหาต่อไปในอนาคต มันเป็นสิ่งที่น่าอับอายมากในสังคม ที่พี่น้องต้องมาทะเลาะกันเองในเรื่องมรดก