ไอ้หมัดสากเหล็ก สำราญศักดิ์ เมืองสุรินทร์ อดีตมวยดัง
ซึ้งเมตตาหลวงพี่น้ำฝน พาผ่านวิกฤติชีวิตหวิดตาบอด
น้าราญ หรือที่วงการมวยไทยจะรู้จักกันในฉายา "ไอ้หมัดสากเหล็ก" สำราญศักดิ์ เมืองสุรินทร์ อดีตนักชกยอดมวยชื่อดังในอดีต ในวัย 66 ปี ปัจจุบันหันมาเป็นครูมวย ที่ค่ายมวยอั๋นสุขุมวิท ซึ่งเป็นค่ายมวยที่สร้างนักมวยไทยโดยเน้นไปที่เด็กและเยาวชน การฝึกฝนมวยไทยอย่างถูกต้องและสามารถสร้างเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ในอนาคต โดยการสนับสนุนของมูลนิธิหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อม โดยหลวงพี่น้ำฝน และถือเป็นการวางรากฐานให้กับนักมวยไทยซึ่งกำลังได้รับการจับตาและให้ความสนใจจากกระแสโลกที่นิยมหันมาชกมวยไทยกันเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนี้
น้าราญ หรือสำราญสัก เมืองสุรินทร์ เล่าว่าชีวิตตั้งแต่วัยเด็กเป็นเด็กที่เกิดมาจากครอบครัวยากจนจึงต้องอาศัยการชกมวยเพื่อหารายได้พิเศษตามงานวัดได้ค่าตัวครั้งแรกก็หลัก 10 บาทโดยอาศัยเดินสายไปตามงานวัดที่อยู่ใกล้บ้านในยุคนั้นก็จำเป็นจะต้องอาศัยการขอที่พักจากวัดที่จัดงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ได้มีเงิน สำหรับใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆแต่ก็เริ่มหันมาชกมวยอย่างจริงจังหลังจากที่มีค่าตัวเยอะขึ้น โดยที่เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นคือการได้เข้ามาชกมวยในกรุงเทพช่วงประมาณปีพ.ศ. 2523 ถึง 2524 โดยสามารถคว้ารางวัลเข็มขัดจากเวทีมวยลุมพินีมาถึงสองเส้น แล้วก็ได้ชกกับมวยเมอร์เชี่ยลอาร์ตที่มีการแข่งขันถึงสี่ชาติและสามารถคว้าแชมป์มาได้ โดยยังมีการคว้าแชมป์ของมวยสากลสมัครเล่นอีกหลายรายการ
น้าราญ เล่าให้ฟังต่อว่า จากการชกมวยที่มีการน็อคบ่อยครั้งและมีพลังหมัดที่หนักหน่วงจนวันหนึ่งก็นักข่าวได้ตั้งฉายาไปอ่านในวิทยุเพื่อ promote การแข่งขันว่าไอ้หมัดสากเหล็ก ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็เริ่มคนรู้จักตัวเองว่าเป็นไอ้หมัดสากเหล็ก มาตั้งแต่ยุคนั้นซึ่งยุคที่เฟื่องฟูที่สุดของตัวเองก็คือในยุคของการที่โปรโมเตอร์ทรงชัย รัตนสุบรรณ ได้จัดศึกการแข่งขันในช่วงประมาณปี 2525 ถึง 2530 มีคนเข้ามาชมในสนามมวย นับ 10,000 คน ซึ่งเป็นกระแสฟีเวอร์ที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงสุดขีด แต่ก็ยอมรับว่ามวยที่มีฝีมือฉกาจเก่งกว่าตนเองก็คือสามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตแชมป์เปี้ยนโลก และเป็นยอดมวยไทยซึ่งตนเองชกแล้วก็ไม่สามารถเอาชนะได้ และยอมรับว่าสามารถคือยอดมวยในยุคนั้นจริงๆ
" ผมชกมวยได้ถึงอายุประมาณ 34 ปี ก็ถือว่าอายุมากจึงได้เลิกชกแต่ระยะทางในการชกมวยที่หนักหน่วงก็กินเวลายาวนานเพราะทุกครั้งที่ขึ้นบนเวทีผมจะคิดเสมอว่าผมไม่เคยกลัวใครและพร้อมจะตะวบันอย่างเต็มที่กับคู่ต่อสู้เสมอ เพราะมีคติว่า ยิ่งกลัวก็ยิ่งเจ็บ จึงทำให้เป็นนักมวยที่ชกล้างผลาญแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บป่วยและบอบช้ำของร่างกายที่สะสม" น้าราญ กล่าว