มทร.ธัญบุรี คว้าใบรับรอง
“สถาบันฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดินและหลักสูตร ฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน” แห่งแรกของไทย! ผลิตบุคลากรคุณภาพสูง ยกระดับมาตรฐานการบิน
สู่สากล
มทร.ธัญบุรี ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการ
เป็น สถาบันฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดินแห่งแรกของ
ประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานการบิน
พลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ภายใต้กฎหมายใหม่
TCAR PEL Part - 147 ยกระดับมาตรฐานการฝึกอบรม
ช่างอากาศยานของไทยสู่ระดับสากล ผลิตบุคลากร
คุณภาพสูงตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรมการบิน
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) พร้อมคณะผู้บริหาร และตัวแทนคณาจารย์ เข้ารับใบรับรองสถาบันฝึกอบรม
นายช่างภาคพื้นดิน เลขที่ CAAT.147.0013 จาก
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
(CAAT) ณ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
(CAAT) โดยการรับรองนี้ทำให้ มทร.ธัญบุรี เป็นสถาบันฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดินแห่งแรกของ
ประเทศไทยที่ได้รับการรับรองโดยเป็นไปตามข้อกําหนด
ของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 75 ว่าด้วยการรับรองสถาบันฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน
(Thailand Civil Aviation Regulation – Personnel
Licensing Part Approved Aircraft Maintenance
Training Organisation (TCAR PEL Part - 147)
ดร.ถวัลย์ เทียนทอง ผู้อำนวยการฝ่ายซ่อมบำรุงและ
วิศวกรรมอากาศยานต์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการศูนย์สถาบันการบินแห่ง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
กล่าวว่า การรับรองสถาบันฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน
จะรวมถึงการรับรองหลักสูตรฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน
จำนวน 3 หลักสูตร คือ 1) หลักสูตร License Category
B1.1 Aeroplanes Turbine (Mechanical Engineering)
2) หลักสูตร License Category B2 (Avionics
Engineering) และ 3) License Category A1
Aeroplanes Turbine (Mechanical Line
Maintenance) โดยที่ มทร.ธัญบุรี ได้นำเนื้อหาในหลักสูตรฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดินทั้ง 3
หลักสูตร มาจัดทำเป็นหลักสูตรในระดับปริญญาตรี คือหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน (วศ.บ. วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน) ซึ่งทำให้ มทร.ธัญบุรี เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้
รับการรับรองหลักสูตร วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน จากกระทรวง
การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) และได้รับการรับรองหลักสูตรฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน 3 หลักสูตรจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT)
นอกจากนี้ มทร.ธัญบุรีอยู่ระหว่างการจัดทำหลักสูตร
ฝึกอบรมนายช่างภาคพื้นดิน หลักสูตร Bridging Course และจัดทำศูนย์ทดสอบสมรรถนะ (Skill Test Center) ตามมาตรฐานสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
(CAAT) เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมการบิน สำหรับการทำหลักสูตร Bridging Course จะมี 4 ห
ลักสูตรคือ 1) Bridging Course License Category B1.1
2) Bridging Course License Category B1.3
3) Bridging Course License Category B1.4 และ
4) Bridging Course License Category B2&B2L ซึ่งจะใช้อบรมนายช่างภาคพื้นดินที่ต้องการได้รับใบอนุญาต
นายช่างภาคพื้นดิน (Aircraft Maintenance Engineering
License: AMEL) ตามประกาศข้อบังคับของสำนักงาน
การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๒๕ ว่าด้วยคุณสมบัติ
และสิทธิทำการของผู้ขออนุญาตเป็นผู้ประจำหน้าที่
นายช่างภาคพื้นดิน และข้อบังคับของสำนักงานการบิน
พลเรือนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ ๓๕ ว่าด้วยคุณสมบัติ
และสิทธิทำการของผู้ขออนุญาตเป็นผู้ประจำหน้าที่
นายช่างภาคพื้นดิน แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้
นายช่างภาคพิ้นดินที่ถือใบอนุญาตนายช่างภาคพื้นดิน
ตามข้อกฎหมายเดิมจำนวนกว่า 2,500 คนได้รับการ
ต่อใบอนุญาตนายช่างภาคพื้นดินตามกฎหมายใหม่
ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยน (CAAT)
รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่ง
อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่าความสำเร็จนี้
เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่และเป็นผลจากความทุ่มเท
ของคณาจารย์และบุคลากร ที่ร่วมกันตระหนักถึง
ความสำคัญของบุคลากรด้านการบิน โดยเฉพาะ
ช่างอากาศยาน ที่มีผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
การรับรองจาก CAAT แสดงถึงความพร้อมของเรา
ในการผลิตบุคลากรคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ต่อไป และจะผลิตบุคลากรคุณภาพสูงเพื่อรองรับความต้องการ
ของสายการบินและหน่วยซ่อมบำรุงอากาศยานที่กำลังขยายตัว จะช่วยส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินของไทยให้ก้าว
หน้าอย่างยั่งยืนได้
ด้าน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์
รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวเสริมว่า การได้การรับรองเป็นสิ่งยืนยันว่าสถาบันมี
มาตรฐานการฝึกอบรมที่สอดคล้องกับข้อกำหนด
สากลของ ICAO และหน่วยงานกำกับดูแลระดับภูมิภาค
เช่น EASA ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจ
ด้านความปลอดภัยในการซ่อมบำรุงอากาศยาน
เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเป็นกำลังสำคัญในการ
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินต่อไปด้วย.