ศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ธนาคารเดียวกันกับคดีเจ้าหน้าที่ธนาคารร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง ธนาคารเดียวกันกับคดีเจ้าหน้าที่ธนาคารร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้เอกสารเท็จจดหลักประกัน ฉ้อโกงเอาเงินจากการทำตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม
กรุงเทพฯ (23 พฤษภาคม 2568) คดีนี้เป็นธนาคารเดียวกันกับที่ ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจนครบาล จับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารร่วมกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยพฤติการณ์ของคดีนี้มีผู้บริหารระดับสูง เกี่ยวข้องด้วย โดยได้ทำการปลอมแปลงตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้เสียหาย 2 ฉบับจำนวน 115 ล้านบาท และ 315 ล้านบาท โดยมีการปลอมตราประทับและให้ผู้อื่นมาลงลายมือชื่อแทน หลังจากนั้นได้นำเงินเข้าบัญชีของผู้เสียหาย และถอนเอาเงินจากบัญชีของผู้เสียหายออกไปโดยไม่มีเอกสารลายเซ็นเจ้าของบัญชีของผู้เสียหายไปยังบริษัทญาติของผู้บริหารระดับสูงของธนาคารดังกล่าวและธนาคารดังกล่าวมีการถือหุ้นผ่านบริษัทตัวแทนเพื่อรับผลประโยชน์ในการทำตั๋วสัญญาใช้เงินปลอมในครั้งนี้
ซึ่งรายละเอียดคดีนี้ ผู้เสียหายนายวงศ์วริศ ศุภปฐวีพงศ์ เจ้าของบริษัท ไฮเพาเวอร์ เอ็นเนอยี่ จำกัดได้กล่าวว่า บริษัทฯได้ทำสัญญากิจการร่วมค้าเพื่อรับงานหน่วยงานราชการ และได้เปิดบัญชีกับธนาคารดังกล่าวจำนวน 3 บัญชีเพื่อสำหรับบริหารงานกิจการร่วมค้า และมีบริษัทญาติของผู้บริหารธนาคารดังกล่าวมารับรับเหมาช่วงงานต่อต่อมาในปี 2562 ภายหลังจากสัญญาก่อสร้างหมดอายุไปแล้ว บริษัทญาติของผู้บริหารธนาคารดังกล่าวได้ทำตั๋วสัญญาใช้เงินปลอมจำนวน 2 ฉบับขึ้นในนามของกิจการร่วมค้าที่ผู้เสียหายถือหุ้นอยู่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้บริหารของธนาคารดังกล่าว โดยไม่ต้องทำ KYC ไม่ต้องมีเอกสารประกอบการขอสินเชื่อ มีการสร้างหนี้เทียมขึ้นมา และใช้เอกสารของโครงการอื่น มาทำการเบิกจ่ายเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินปลอมทั้งสองฉบับ และมีทำเอกสารปลอมขึ้นมาเพื่อจดทะเบียนเป็นหลักประกันให้สินเชื่อเข้าองค์ประกอบว่าต้องมีหลักประกัน หลังจากนั้นธนาคารดังกล่าวได้นำเงินเข้าบัญชีของกิจการร่วมค้าที่ผู้เสียหายถือหุ้นอยู่ และนำเงินออกโดยไม่มีเอกสารการเบิกเงินหรือเอกสารยินยอม ออกไปให้กับบริษัทที่ญาติของผู้บริหารธนาคารเป็นเจ้าของอยู่ และธนาคารดังกล่าวได้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 3 ผ่านบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัทญาติของผู้บริหารนั้นได้รับเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินปลอมทั้งสองฉบับ
ผู้เสียหาย ได้นำเรื่องไปร้องกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ปี 2566 แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ได้ร้องเรียนต่อธนาคารแห่งประเทศไทยและ สำนักงานปราบปราบการฟอกเงิน ตั้งแต่ปี 2566 ก็ไม่ได้รับความคืบหน้าแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้นำข้อมูลไปฟ้องเป็นคดีอาญา จนศาลได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง เป็นคดีอาญาปลอมและใช้เอกสารปลอมอีกหลายคดี ซึ่งศาลได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องหมดทุกคดีแล้ว และผู้เสียหายได้ฟ้องเกี่ยวกับการนำเอกสารปลอมไปจดหลักประกัน เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตธนาคารดังกล่าวที่ ศาลปกครองกลาง
คดีนี้มีความสำคัญต่อวงการการเงินและความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินของไทย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของสถาบันการเงินในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางการเงินและการกำกับดูแลธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
และปัจจุบันศาลแพ่งพระโขนงและศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับเอกสารที่ธนาคารดังกล่าวอ้างอิงว่าบุคคลตามเอกสารนั้นมีอำนาจทำตั๋วสัญญาปลอมพิพากษาว่าเอกสารดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ขัดต่อหลักกฎหมาย พรบ.บริษัทมหาชนจำกัด มาตรา 12 อย่างชัดแจ้ง แต่เหตุใดหน่วยงานกำกับดูแลได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงินจึงยังนิ่งเฉย
ทีมข่าวเฉพาะกิจ จะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
ติดต่อร้องเรียน / ชึ้แจง
Tel 0969099986
Line : ID 0937939312